Sunday, December 18, 2016

พบเนื้อคู่ฯ ดูยังไง?


ภาพข้างบน ด้านซ้ายคือพื้นดวงเดิม ตำแหน่งดาวที่สถิตในจักรราศี (Zodiac) เมื่อมองจากโลก ณ เวลาเกิด ด้านขวาคือสุมผุสดาว ณ เวลาปัจจุบันตามรูป ซึ่งก็คือพิกัดองศาของดวงดาวที่โคจรมาสถิตในจักรราศี เรียก "ดาวที่โคจร" สั้น ๆ ว่า "ดาวจร" คือ ย่อ "ที่โคจร" เหลือเพียง "จร"

จากรูปด้านซ้าย ดวงชะตานี้ลัคนาหรือจุดกำเนิดสถิตราศีเมษ มีดาวอังคาร (๓) เป็นดาวตนุลัคนา หรือดาวตนุลัคน์ ซึ่งเป็นดาวประจำตัว ดาวศุกร์ (๖) เป็นดาวปัตนิ หรือดาวคู่ครอง ดาวตนุลัคน์ไปสถิตเรือนภพไหน ดาวเจ้าเรือนภพตรงข้ามก็จะเป็นปัตนิกับดาวน์ตนุลัคน์ เรียกว่า ดาวปัตนิตนุลัคน์ เป็นดาวคู่ครองอีกดวงหนึ่ง ในดวงนี้ คือ ราหู (๘)

ดวงนี้มีดาว ๖ ร่วมดาว ๓ ในภพที่ 5 บ่งว่ามีคู่ครองเพราะความรักได้อยู่ร่วมกันกับคนรัก มีเกตุ (๙) ร่วมดาวจันทร์ (๒) ในภพปัตนิ (ภพคู่ครอง) เกตุ (๙) บ่งว่า คู่ครองอายุมากกว่า หรือ/และ เป็นเนื้อคู่ตามบุพเพสันนิวาส หรือ เนื้อคู่ฯ (ผัวเมียจากชาติที่แล้ว) ยิ่งดาว ๒ มาร่วมด้วยยิ่งยืนยันว่าดวงนี้มีเนื้อคู่ฯ ราหู (๘) สถิตภพศุภะ (ความสำเร็จ มงคล ฯลฯ) บ่งว่ามีคู่ครองแล้วดี ทั้งยังส่งกระแสถึงดาว ๓, ๖ ยิ่งเกื้อหนุนให้เป็นจริงมากยิ่งขึ้น

จากรูปด้านขวา ดาว ๖ จรอยู่ภพกัมมะ บ่งว่ากิจการงานทำให้พบคู่ครอง ดาว ๖ ทับดาวเสาร์ (๗) ซึ่งเป็นเกษตรภพกัมมะในดวงเดิม แปลว่า แน่นอน คือไม่ผิดพลาด ดาว ๘ จรมาทับดาว ๓, ๖ ในพื้นดวงชะตา บ่งบอกชัดเจนว่าพบคู่ครอง (ดาวคู่ครอง กับ ดาวประจำตัว พบกัน) อีกทั้งดาว ๙ ซึ่งบ่งบอกถึงอดีตชาติ จรมาร่วมดาว ๓ (ดาวประจำตัว) ในปัจจุบัน หมายความว่าเรื่องในอดีตชาติมาถึงตัวแล้ว และยังเล็งดาว ๘ ที่จรในภพปุตตะ แน่นอนพบคู่ครองที่เป็นเนื้อคู่ตามบุพเพสันนิวาส

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการดูด้านเดียว ต้องดูดวงชะตาของอีกคนด้วย ถึงจะยืนยันได้มากขึ้น และต้องดูเหตุการณ์ชักนำให้ได้พบกันด้วยว่า ปรากฏการณ์ตอนแรกพบมีอะไรพิเศษหรือไม่?

อีกทั้งเวลาตกฟากของเจ้าของดวงชะตานี้จะต้องไม่ผิดพลาด เพราะพ่อแม่อาจจำผิด ดูเวลาผิด เขียนเลขผิดหรือเอกสารหาย เลยไม่รู้แน่ชัดทำให้เข้าใจผิด มีโอกาสเกิดขึ้นได้หมด

หมายเหตุ : ตามปกติเวลาดูดวง โหรจะเขียนดวงชะตาเดิม (ตำแหน่งดาว ณ เวลาเกิด) และจะเขียนตำแหน่งดวงดาวโคจรในปัจจุบัน ณ เวลาที่ดูลงไปในช่องเดียวกันด้วยปากกาต่างสีกัน หรือใช้เลขอารบิกแทน "ทับ" คือ ดาวปัจุบันจรมาซ้อนตำแหน่งกับดาวเดิม หรือ ดาวเดิม + ดาวจร "ร่วม" คือ ดาวเดิม + ดาวเดิม, ดาวจร + ดาวจร และ "เล็ง" คือ อยู่ในช่องตรงกันข้าม ทั้ง ดาวเดิม + ดาวเดิม, ดาวจร + ดาวจร เรียกเล็งเหมือนกัน


Thursday, September 29, 2016

เนื้อคู่ฯ ดูยังไง?

0

ก่อนที่จะมีคำถามว่า "จะได้พบเนื้อคู่เมื่อไหร่?" คุณรู้แล้วหรือยังว่า "ดวงชะตาฯของคุณมีเนื้อคู่ฯหรือเปล่า?" บางดวงชะตาฯนั้นแค่จะมีคู่ยังยากเลย เรื่อง "เนื้อคู่ฯ" ยิ่งไม่มี!!!

และถ้าจะบอกว่าชายหญิง 2 คนเป็นเนื้อคู่ฯกันนั้น ในดวงชะตาฯต้องบ่งบอกว่า "เป็นดวงชะตาฯที่มีเนื้อคู่ฯ" ทั้ง 2 คน จะมีแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้!!!

แล้วจะดูยังไงว่าเป็นดวงชะตาฯที่มีเนื้อคู่ฯนั้น โหราศาสตร์ไทยดูกันที่เกตุ ซึ่งใช้แทนด้วยเลข ๙

เกตุ (๙) นั้น หมายถึง (1) อมนุษย์ ได้แก่ เทวา อารักษ์ ฯลฯ (2) มนุษย์ ได้แก่ คนที่สูงวัยกว่า คนแก่ ฯลฯ (3) สิ่งของ ของเก่า (4) เรื่องราว เรื่องเก่า (5) ชาติ/ภพ ชาตก่อน ภพก่อน

ดวงชะตาฯที่มีเนื้อคู่ฯนั้น เกตุ (๙) จะต้องส่งกระแสสัมพันธ์ถึงภพตนุลัคนา และ ภพปัตนิ

ทีนี้จะดูยังไงว่าตรงไหน คือ ภพตนุลัคนา ตรงไหนคือ ภพปัตนิ ให้ดูที่ตัวอักขระที่ไม่เข้าพวกกับเลข ๐-๙ อักขระฯนั้นอยู่ที่ไหน ตรงนั้นคือ ภพตนุลัคนา เครื่องหมายบวก (+) หรือกากบาท (×) ไม่เกี่ยว ในรูปภาพประกอบที่นำมาให้ดูนี้ จะเห็นตัวอักขระสีแดง ตรงนั้นคือ ภพตนุลัคนา ช่องตรงกันข้าม หรือนับ 1 ตั้งแต่ ภพตนุลัคนาเป็นต้นไป นับ 7 ลงที่ช่องไหนช่องนั้นคือ ภพปัตนิ จะนับตามเข็มนาฬิกา หรือทวนเข็มนาฬิกา ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

ภพตนุลัคนา หมายถึงตัวเรา ส่วนภพปัตนิ หมายถึงคู่ครอง พึงสังเกตว่าภพที่เกี่ยวกับคู่ครองเป็นภพที่ 7 และเราเคยว่าไปแล้วเรื่องเลข 7 เลขแห่งเทพ มันย่อมมีนัย

ที่ว่า "ส่งกระแสสัมพันธ์ถึง" นั้น ถ้าดูจากราศีจักรของดวงชะตาฯ นับจากภพตนุลัคนาเป็นช่อง 1 นับไป 3, 5, 7 หรือ ช่องเว้นช่อง รวมทั้งช่องภพตนุลัคนาเอง อย่างนี้เรียกว่าส่งกระแสสัมพันธ์ถึงกัน อีกครั้ง จะนับตามเเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกาก็เหมือนกัน

ดังนั้นดวงชะตาฯที่มีเนื้อคู่ฯ เกตุ (๙) จะต้องอยู่ในช่อง 1, 3, 5, 7

และเกตุ (๙) ในดวงชะตาฯของชายหญิงจะต้องเป็น 1 (อยู่ที่เดียวกัน), 3, 5, 7 ของกันและกัน ชายถึงทั้งสองถึงจะเป็น "เนื้อคู่ฯ" ของกันและกัน

ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นดวงชะตาฯมีเนื้อคู่ฯ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่มี ก็เหมือนรักคนมีเจ้าของ ไม่มีทางบรรจบกันได้

และแม้ว่าดวงชะตาฯบ่งบอกว่ามีเนื้อคู่ฯทั้งสองคน และมีเชิงมุมสัมพันธ์ดังที่กล่าวมา ก็อาจผิดคู่กันได้ คือ ต่างคนต่างมีเจ้าของ

อุบัติการณ์วันแรกพบกันจะเป็นตัวบ่งบอกว่าใช่หรือไม่? ปิ๊งกันเพราะสวย หล่อ รวย อันนี้ไม่ใช่หรอกนะ มันต้องมีเหตุ

นอกจากนั้น ในวันที่แรกพบกัน ในดวงชะตาของทั้งสองจะบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า "พบเนื้อคู่ฯ"

รูปภาพประกอบที่นำมาให้ดูนี้ ทั้งชายและหญิงต่างเป็นดวงชะตาที่มีเนื้อคู่ฯ แต่ทั้งสองก็ไม่ใช่เนื้อคู่ฯกัน เพราะไม่เคยเจอกัน แต่ถ้าดูจากดวงชะตาฯอย่างเดียว ทั้งคู่เป็น "เนื้อคู่ฯ" กันได้

อยากรู้ว่าตัวคุณมีเนื้อคู่ฯหรือไม่? ไปที่ลิงค์นี้ http://www.payakorn.com/lukana.php แล้วใส่ข้อมูล วันที่ เดือน ปี พ.ศ. เกิด เวลาที่เกิด จังหวัดที่เกิด คุณจะได้ผลลัพธ์ออกมามีลักษณะคล้ายรูปภาพข้างบน เสร็จแล้วก็ตรวจเช็คตามที่เขียนไว้ข้างต้น

สำคัญที่สุด เนื้อคู่ฯ ย่อมาจาก เนื้อคู่ตามบุพเพสันนิวาส หมายถึง คนที่เคยอยู่เป็นผัวเมียร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ส่วนคู่ครอง อาจจะเป็นเนื้อคู่ฯกันหรือไม่ก็ได้

[ถ้าคุณไปดูดวงชะตาฯมา โหราจะเขียนแผ่นดวงชะตาดังรูปภาพข้างบน (หรือคล้าย ๆ กัน) ให้มา ซึ่งคุณสามารถตรวจเช็คกับที่เราเขียนนี้ได้ แต่เฉพาะเรื่องนี้นะ เรื่องอื่นไม่เกี่ยว]



Friday, August 12, 2016

My Moment III



รูปข้างบนนี้ เราไม่แน่ใจว่าเรียกว่า "กำแพงกั้นขอบทาง" หรือเปล่า? แต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องข้ามมันทุกวันไปกลับ จากทำงานกลับที่พัก เพราะมันเป็นทางลัด เราจึงขอเรียกมันว่า "กำแพง" ในที่นี้ก็แล้วกัน

ทุกวันเราจะกระโดดขึ้นไปยืนบ้างนั่งยอง ๆ บ้างบนสันกำแพง แล้วกระโดดลงไปยังอีกฟากหนึ่ง ฟากที่เห็นพื้นถนนลาดยางระดับจะสูงกว่าด้านที่เห็นหินกรวดและพงหญ้า ดังนั้นเมื่อเรากระโดดขึ้นมาจากฟากถนน เราจะยืนหรือนั่งยอง ๆ บนสันกำแพง ก่อนที่จะค่อย ๆ หย่อนทิ้งตัวลงไปบนพื้นหินกรวด เพราะระยะที่สูงกว่าจากสันกำแพงจะทำใ้ห้แรงกระแทกที่เท้าเราตกลงบนพื้นรุนแรงกว่าและทำใ้ห้รู้สึกเจ็บเท้า แต่เมื่อเรากระโดดจากด้านหินกรวดขึ้นไปบนสันกำแพงพอเท้าเราแตะสันกำแพงเราจะเทคตัวลงไปยืนบนพื้นถนนเลยทันที

คืนวันหนึ่งในช่วงครึ่งหลังของฤดูฝน คืนนั้นหลังจากฝนหยดตกสักพักเราได้เดินทางกลับที่พัก บนถนนยังมีน้ำขังอยู่หลายจุด เช่นเคย เรากระโดดจากฟากถนนเพื่อขึ้นไปนั่งยอง ๆ บนสันกำแพง แต่เท้าข้างขวาเราสะกิดขอบสันกำแพง ทำให้เราคะมำเสียหลักตกลงไปอีกฟากหนึ่ง...

ตอนแรกเรานึกโมโหตัวเองที่ประมาทใช้แรงน้อยไปจึงกระโดดไม่พ้น แต่หลังจากนั้นเราก็เห็นความจริงว่า เราไม่ได้ประมาทโดยใช้แรงน้อยไป เพราะถ้าเราใช้แรงน้อย เราจะกระโดดไม่พ้นสันกำแพงและจะร่วงลงมาตรงกำแพงด้านถนน แต่ที่เราคะมำไปยังอีกฝั่งได้นั้นเป็นเพราะเหตุว่า ตรงพื้นถนนจุดที่เราใช้เทคตัวเป็นประจำนั้น มีน้ำขังอยู่เพราะพื้นถนนเป็นแอ่ง ทำให้เราต้องไปเทคตัวใกล้กับกำแพงมากขึ้น และเนื่องจากเราไม่ได้กระโดดขึ้นไปตรง ๆ เรากระโดดขึ้นเฉียง ๆ กอปรกับเราไม่ได้หยุดเดินเพื่อที่จะกระโดด หากแต่พอเราเดินมาถึงเราก็กระโดดเลย ตัวเราจึงหันหน้าเฉียง ๆ กับกำแพงด้วย ดังนั้นเมื่อเท้าเราสะกิดกับสันกำแพง จึงทำให้เราเสียหลักคะมำข้ามไปอีกฟากหนึ่ง ในลักษณะที่งอเข่านั่งยอง ๆ และหน้าเฉียงกับพื้น

ช่วงเวลานั้นเราคิดว่าเราคงถลาลงไปจับกบในท่าตะแคงเฉียงหน้ากับพื้นหินกรวด แต่ ฉับพลันร่างกายของเราก็กลับกระดกขึ้นมาตั้งตรง จึงทำให้เท้าเราลงสู่พื้นในท่าเดียวกันกับที่เคยทำเป็นประจำ

เราจำได้ว่าจังหวะเดียวกันนั้น เรามองเห็นร่างกายของเราในท่านั่งงอเข่ายอง ๆ ที่คะมำลงไปแล้วกระดกตั้งขึ้นมานั้นทั้งตัว ซึ่งโดยปกติแล้วคนเราจะมองไม่เห็นร่างกายของตัวเองทั้งตัว เว้นแต่จะดูจากเงาในกระจก

และ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก! แต่เป็นครั้งที่ 2 ที่เราเห็นร่างกายของเราเต็มตัว เวลาประสบเหตุการณ์ทำนองนี้

ต่อมา เมื่อเราได้อ่านเรื่องราวของพีท ทองเจือ ซึ่งก็พบว่าปราฏการณ์นั้นคล้ายกัน (ลองไปหาอ่านกันดู)


Sunday, July 31, 2016

การนำทางของเทพเจ้า


วันหนึ่งในปี 2542 เราไปที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ศาลาพระเกี้ยว ตั้งใจจะไปดู Textbook เกี่ยวกับ Trading in International Financial Market แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทำให้เราเดินไปที่มุมหนังสือพิมพ์ นิตยสาร แล้วเราก็เจอหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค ชื่อเรื่อง "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทย" เราหยิบขึ้นมาเปิดดูเลยด้วยความอยากรู้....

ย้อนหลังไปในช่วงต้นปี 2536 บริษัทที่เราทำงานอยู่ในขณะนั้น ได้จัดพาพนักงานไปเที่ยวฉลองปีใหม่ที่จังหวัดกาญจนบุรี กี่วันก็จำไม่ได้ ในวันที่ได้ไปถึงปราสาทเมืองสิงห์ ที่ตัวปราสาทสร้างด้วยหินศิลาแลง น้องที่ถือกล้องชวนเราถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เรามองเห็นปราสาทเป็นฉากหลัง จึงนึกขึ้นว่าจะนั่งท่าเทพ โพสต์ท่าถ่ายรูป เนื่องจากตัวปราสาทมีสเต็ปเป็นขั้น ๆ แต่ตำแหน่งที่เราจะนั่งมันสูงประมาณกลางหลังเรา เราจึงต้องใช้มือทั้งสองข้างค้ำแล้วสปริงตัวเพื่อขึ้นไปนั่ง

แต่แล้วมือเราก็ลื่นพลัดตกลงมา แขนครูดกับหินศิลาแลงเป็นแผลถลอกยาวครึ่งความยาวแขนส่วนปลาย เลือดไหลแดงหยดติ๋ง สาว ๆ ร้องกรีดว้าย ต้องทำแผลเลยไม่ได้ถ่ายรูปเลย และเราก็คาใจมาตลอด เพราะเราเคยทำแบบนี้มาบ่อยก็ไม่เห็นจะตกลงมาเลยสักครั้งเดียว

....แล้วเราก็เจอปราสาทเมืองสิงห์ในหนังสือเล่มนั้น แล้วก็มีเรื่องราวที่คล้าย ๆ กันกับเรา

หลังจากที่ได้รู้ความจริง เราก็เปิดดูต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงพระธาตุช่อแฮ

"ตายห่า!"

เรานึกอุทานในใจ "กูเคยไปสาบานไว้นี่หว่า"

นานถึง 18 ปีที่เราลืมเรื่องนี้เสียสนิท!

สมัยปี 2523 เราสอบเอ็นทรานซ์ครั้งแรกไม่ติด เราจึงได้ไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูลำปาง เพื่อเตรียมตัวสอบอีกครั้งในปีถัดไป และที่นั่นเองที่เรามีแฟนจริง ๆ ครั้งแรกกับสาวจังหวัดแพร่ และช่างบังเอิญจริง ๆ ที่พี่สาวลูกของลุงคนโตของเราได้แต่งงานกับคนหมู่บ้านเดียวกันกับแฟน แต่แต่งกันตั้งแต่เราอายุ 4-5 ขวบเห็นจะได้

หลังจากสอบเอ็นทรานซ์ครั้งที่ 2 เสร็จ เราขอไปอยู่บ้านพี่สาว กลางวันก็ช่วยเขาทำงาน กลางคืนก็ไปหาแฟนที่บ้านเขา ทางเหนือเรียก "แอ่วสาว" หยุดเสาร์อาทิตย์แฟนก็พาเราเที่ยว

แล้ววันหนึ่งแฟนเราก็พาเราไปไหว้พระธาตุช่อแฮด้วยกัน แฟนบอกว่าศักดิ์สิทธิ์นะ

ไม่รู้เราคิดยังไง เราอาจเป็นคนจริงจังในเรื่องความรักก็ได้ เราจึงอธิษฐานจิตสาบานโดยที่แฟนเราไม่ได้ร้องขอ และเราก็ไม่ได้บอกแฟนหรือบอกเราก็จำไม่ได้

เราจึงโทรไปหาเพื่อนเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่ในวันที่จำได้เลยหรือเปล่าก็จำไม่ได้แล้ว เพื่อนบอกมึงรีบไปขอถอนคำสาบานเลย เดี๋ยวมาเอาเงินที่กู ก่อนเดินทางหลังจากกินข้าวกับเพื่อนเสร็จเดินผ่านแผงขายสลากกินแบ่งฯ เพื่อนบอกให้ซื้อเอาไว้คู่หนึ่ง จากนั้นก็ฉีกแบ่งกันคนละครึ่ง

ไปถึงจังหวัดแพร่ในรุ่งเช้าของอีกวัน เราตรงดิ่งไปที่พระธาตุช่อแฮเลย ได้จัดการขอถอนคำสาบานตามที่เพื่อนแนะนำ พอเรากล่าวจบจากตาที่หลับอยู่เห็นสว่างวาบขึ้นมาแต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร เราก็คิดว่า สำเร็จแล้ว และเย็นวันนั้นเราก็ถูกสลากกินแบ่งฯรางวัลเลขท้ายสองตัว แสดงว่า การถอนคำสาบานสำเร็จลงโดยสมบูรณ์

มันเป็นอุบัติการณ์ต่อเนื่อง แม้จะห่างกันถึง 6 ปี ถ้าเราไม่ร่วงลงมาจนเลือดออก เราคงไม่คาใจ ต่อให้ไปเห็นหนังสือเล่มนั้นเราก็คงไม่เปิดดู และเราก็คงไม่เกิดการจำได้ถึงการที่ตนเองเคยสาบานไว้

แต่เมื่อเกิดอุบัติการณ์ที่ 1 จึงทำให้เกิดอุบัติการณ์ที่ 2 และ ความทรงจำผุดขึ้นมาโดยพลันเป็นอุบัติการณ์ที่ 3 จนกระทั่งนำไปสู่การขอถอนคำสาบานในที่สุด

เรื่องทำนองแบบนี้แหละที่เรียกว่า

"การนำทางของเทพเจ้า"